ลิเวอร์พูล – แมนฯยูฯ นำลีกอาชีพสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่……

“ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน”ที่มาของการเปลี่ยนแปลงคือนิรันดร์ ไม่มีอะไรคงอยู่แบบถาวร….ตั้งมาดับไป นานๆเขียนที 55 ออกแนวปลงๆ ยังไงชอบกล ไม่มีอะไรครับมากนอกจากข่าวใหญ่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อช่วงสองทุ่มครึ่งเวลาบ้านเรา…ตูมออกมาให้ตื่นเต้น ท่ามกลางบอลยุคโควิดที่ไม่ตื่นเต้นแม้จะมีการยิงประตูเฉลี่ยนัดละ 3.79 ลูก เมื่อลิเวอร์พูล จับมือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสนอ “โครงสร้างใหม่พรีเมียร์ลีก” ในชื่อ Project Big Picture สาระสำคัญของโครงร่างใหม่ทีว่ากันว่าเป็นการ “ถอนรากถอนโคน” วงการฟุตบอลอังกฤษให้แตกต่างไปจากเดิม…นั้นคือเรื่อง “การเงิน” ของลีกอาชีพทั้งสี่ลีก

พรีเมียร์ลีก, ลีกรองอย่างเดอะ แชมเปี้ยนชิพ, ลีกวัน และ ลีกทู ข่าวนี้เผยแพร่เจ้าแรกคือ เดอะ เทเลกราฟ นสพ. อังกฤษแนว “เจาะลึก” ไม่เน้นข่าวตลาด เน้นข่าวเชิงลึก, สังคมทุกแขนง กีฬาก็ไม่เว้น จากนั้นสำนักข่าวบีบีซี เอามาขยี้ให้เห็นภาพกันชัดๆ ผมเขียนเอาไว้ในสตาร์ซอคเก้อร์รายวันอย่างละเอียดครับ…วางแผงพรุ่งนี้…แต่วันนี้ทางออนไลน์เอาแบบย่อๆพอเข้าใจภาพกว้างๆครับ โครงร่างใหม่แบบถอนรากถอนโคนนั้น….มีดังนี้

เทเลกราฟ ระบุว่า ทีมบริหารลิเวอร์พูลนำโดย FSG จัดทำโครงร่างใหม่พรีเมียร์ลีกร่วมกับ โจ เกลเซอร์ ของแมนฯยูไนเต็ด คุยกันมาเมื่อปี 2017 แล้ว นั่นทำให้ propasal ออกมาสมบูรณ์แล้วตอนนี้ พอดีการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้วงการฟุตบอลได้รับผลกระทบในเชิงธุรกิจ เสียหายเยอะ โดยเฉพาะลีกรองทั้งสามลีก ที่ขาดรายได้มหาศาล นั่นจึงทำให้ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯยูไนเต็ด กระตุ้นและเร่งให้โครงร่างนี้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด ถ้าแผนนี้ผ่านความเห็นชอบจะเริ่มต้นใช้ฤดูกาล 2022-23 หรือ 2023-24 ตอนนี้ข่าวบอกทีมใหญ่ เชลซี,อาร์เซนอล, สเปอร์ส, แมนฯซิตี้ ยกมือเอาด้วย บวกกับ 72 ทีมลีกรองพร้อมสนับสนุน

ที่มี ริค แพร์รี ประธานฟุตบอลลีก (ลีกรอง) นำขบวน พลันที่ข่าวนี้ออกมา…ผู้บริหารที่ดูแลพรีเมียร์ลีกสวนกลับทันที “โครงร่างใหม่นี้จะทำลายและสร้างความเสียหายให้วงการบอลอังกฤษ” ต้องไม่ลืมนะครับ…พรีเมียร์ลีกบริหารงานโดย บ.พรีเมียร์ลีก จำกัด ที่มีตัวแทน 20 ทีมพร้อม “คณะผู้บริหารนอก” ที่แต่งตั้งกันเข้ามาทำงาน มีทีมบริหารมาจัดการเรื่องลิขสิทธิ์และสิทธิประโยชน์ ก่อนนำแจกจ่าย แบ่งปันสมาชิกในลีกสูงสุดและแบ่งให้ลีกรอง ตามสมควร ถ้าหากโครงร่างของ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯยูไนเต็ด เป็นผลสำเร็จ สโมสรสมาชิกนำการบริหารจะเหลือแค่ 9 ทีมที่บริหารสิทธิ์กันเอง โดย 9 สโมสรพันธกิจนี้ นำโดย……ลิเวอร์พูล,แมนฯยูฯ, แมนฯซิตี้, อาร์เซนอล, เชลซี, สเปอร์ส
บวกกับ เวสต์แฮม, เซาธ์แฮมป์ตัน และ เอฟเวอร์ตัน หลักการง่ายๆ มติเรื่องไหนต้องผ่าน 6 เสียงใน 9 เสียงนี้ เพื่อผลประโยชน์คลอบคลุมอีก 81 สโมสรในสี่ดิวิชั่น ล้มเลิกการลงคะแนน 14 ใน20 ทีม + ทีมผู้บริหารนอก มีแต่ตัวแทนจากสโมสร “บริหารสิทธิ์” กันเอง ภายใต้…สมาคมฟุตบอลอังกฤษ, ยูฟา และกฏหมายสหภาพยุโรป ในเบื้องต้นนะครับ…ตามหลักการ งานนี้….มันคือการงัดข้อครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ ระหว่างสโมสร และ องค์กรน่าจะเป็นบ.พรีเมียร์ลีก โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ จะต้องเห็นชอบด้วย (คิดว่าน่าเห็นชอบ) เพราะไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขไหน เอฟเอ ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น ทิ้งท้ายไว้เล่นๆ ว่าทำไมลิเวอร์พูล, แมนฯยูไนเต็ด และทีมใหญ่จึงมีแนวคิด ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้ขึ้นมา….

คำตอบไม่ยากครับ แบรนด์ของ ลิเวอร์พูล, แมนฯยูไนเต็ด รวมทั้งเชลซี, สเปอร์ส, อาร์เซนอล และอีกหลายทีม”แข็งแกร่ง” มากพอที่จะสามารถดำเนินกิจการนี้ด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งองค์กร รวมทั้งภาครัฐที่ไม่ช่วยเหลือสนับสนุนสโมสรในช่วงโควิด-19 มากเท่าที่ควร ตามที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลอังกฤษ “ตัดหาง” พวกบอลอาชีพ ด้วยการบอกว่า “เงิน” มีไว้ช่วยกลุ่มที่จำเป็น เรื่องนี้ดันไปถูกใจทีมใหญ่ที่มีแผนการบริหารลีกใหม่ด้วยตัวเอง โครงร่างนี้จึงปรากฏออกมาเร็วขึ้นกว่าปกติ แล้วถ้าไม่มีการสนับสนุนใดๆเกิดขึ้น…คือโครงร่างไม่ผ่าน

สิ่งที่องค์กรวิตกกังวลอย่างมากทั้ง สมาคม, ยูฟา กระทั่งฟีฟ่า…คือการออกไปจัดตั้ง “ซุปเปอร์ ลีก” กันเอง ทั้งยุโรป ไม่มีแล้วระบบฟุตบอลอาชีพที่เราเห็น …. ลิเวอร์พูล – แมนฯยูฯ นำลีกอาชีพสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…… มีแต่ ลิเวอร์พูล,แมนฯยูฯ, ปารีส แซงต์แชร์กแม็ง, บาเยิร์น, บาร์ซ่า, เรอัล มาดริด เตะ “ซุปเปอร์ ลีก” คู่ขนานไปกับบอลลีกภายใน (ถ้ามี) อ่า….แค่คิดก็สนุกแล้ว อ้อ….ลิเวอร์พูล และ แมนฯยูไนเต็ด อาจเป็นคู่แข่งทางการธุรกิจบอลอาชีพ แต่ไม่ใช่ศัตรูที่ต้องฟาดฟันกันเอาตายเหมือนพวกแฟนบอลยุคใหม่ในโซเชียล ธุรกิจฟุตบอล…ต้องการ คู่แข่งขัน ครับ ไม่ต้องการ “ศัตรู” ฟุตบอลคือธุรกิจที่มีแต่ “มิตรแท้” และไม่มี “ศัตรู” เพราะผลประโยชน์นี้มันต้องแบ่งร่วมกันทุกฝ่าย…อืมมมมม รอดูครับว่า….ลิเวอร์พูล+ แมนฯยูไนเต็ด จะไม่มีวันเดินเดียวดาย พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลอังกฤษให้มีแต่….Glory Glory …..หรือความรุ่งเรืองครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์หรือไม่

Scroll to Top